ลูกเดือย สรรพคุณ และการปลูกลูกเดือย

ลูกเดือย (Job’s tears) จัดเป็นธัญพืชในพืชตระกูลหญ้าที่นิยมปลูกมากในภาคอีสาน เนื่องจากนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อาทิ น้ำลูกเดือย ใส่น้ำเต้าหู้ แปรรูปเป็นแป้งทำขนม และอื่นๆ จึงถือเป็นธัญพืชที่นิยมรับประทานเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ถึงสรรพคุณที่สามารถต้านเซลล์มะเร็งอย่างได้ผล >> วงศ์: Gramineae/Poaceae >> ตระกูล: Andropogoneae >> สกุล: Coix >> จำนวนโครโมโซม 2n = 20 >> ชื่อวิทยาศาสตร์: Coix lacryma-jobi Linn. Coix มีฐานศัพท์ดั้งเดิมมาจากภาษากรีก หมายถึง พืชที่มีดอกเป็นช่อคล้ายพวงหรีด >> ชื่อสามัญ: – Job’s tears – Coix – Hatomogi – Pearl Barley – Adlay >> ชื่อท้องถิ่น : – ลูกเดือย (ทุกภาค) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์  ลำต้น ลูกเดือยเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีลักษณะลำต้นเหมือนกับหญ้าทั่วไป คือ มีลำต้นทรงกลม และตั้งตรง ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน สูงประมาณ 1-3.5 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้อง มีใบแตกออกบริเวณข้อ ผิวลำต้นเรียบเป็นสีเขียวอมเทา และมีนวลขาวปกคลุม เมื่อลำต้นเริ่มตั้งต้นได้หรือมีอายุตั้งแต่ 2 เดือนแล้ว ก็จะจะแตกลำต้นหรือเหง้าเพิ่มเป็น 4-5 ลำต้น ใบ ใบลูกเดือย มีลักษณะเป็นแผ่นเรียวยาว สีเขียวสด แผ่นใบด้านล่างมีสีจางกว่า ประกอบด้วยกาบใบที่หุ้มลำต้น ถัดมาเป็นโคนใบที่เป็นหยัก และต่อมาเป็นแผ่นใบ ขนาดประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-45 เซนติเมตร ปลายใบแหลม แผ่นใบมีเส้นกลางใบชัดเจน ขอบใบเรียบ และมีความคม บาดมือได้ง่าย ดอก ดอกลูกเดือยแทงออกเป็นช่อตรงปลายยอดของลำต้นคล้ายกับดอกของหญ้าทั่วไป มีช่อดอกยาว 3-8 เซนติเมตร ดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละดอกแต่อยู่บนช่อดอกเดียวกัน จำนวนดอกต่อประมาณ 10-20 ดอก หรือมากกว่า แต่ดอกทั้ง 2 ชนิด มักบานไม่พร้อมกันจึงมักทำให้มีการผสมเกสรข้ามต้นกัน ดอกลูกเดือยแต่ละดอกจะมีลักษณะเป็นกระเปราะที่มีเปลือกหุ้ม ซึ่งต่อมาจะพัฒนากลายเป็นผล หรือเมล็ด โดยดอกลูกเดือยตัวเมียจะมีก้านเกสรสีแดงคล้ำ 2 อัน ซึ่งจะยื่นโผล่ออกมาให้เห็นจากส่วนปลายของกระเปาะสำหรับรับการผสมละอองเกสรตัวผู้ ส่วนดอกตัวผู้แต่ละช่อจะมีประมาณ 10 ดอก ซึ่งจะมีรูปร่างสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แต่จะค่อนข้างเรียวยาว ขนาดดอกยาว 7-8 เซนติเมตร ตัวดอกประกอบด้วยกาบดอกชั้นนอก 2 อัน ถัดมาภายในจะเป็นกลีบดอก 1 อัน และ และอับเกสร 3 อัน ผล และเมล็ด ผลของลูกเดือยจะเรียกว่า ผลปลอม เพราะมีเฉพาะเมล็ดที่อยู่ด้านใน ซึ่งจะประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ดสีน้ำตาล เปลือกหุ้มนี้ค่อนข้างบาง แต่แข็งติดกับเมล็ด ถัดมาด้านในสุดจะเป็นเมล็ดที่มีลักษณะรูปหัวใจ ซึ่งจะมีร่องเว้าตรงกลางของเมล็ด ขนาดกว้าง และยาวประมาณ 8-12 มิลลิเมตร ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย ลูกเดือย เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเทือกเขาหิมาลัย โดยแพร่เข้าสู่ประเทศแถบยุโรปผ่านทางชาวอาหรับ และแพร่เข้าสู่เอเชียตะวันออกผ่านทางชาวจีน ปัจจุบันพบการปลูกทั่วโลกในแถบประเทศอบอุ่น ส่วนประเทศไทยพบการปลูกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2503 ที่เขตนิคมสร้างตนเองของ จ.สระบุรี ลพบุรี และนครราชสีมา และในช่วงปี พ.ศ. 2513 ได้แพร่ไปยัง จ.ชัยภูมิ และเลย จนถึงภาคเหนือในปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันพบปลูกมากในภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเลยที่ปลูกมากเป็นอันดับหนึ่งจากพื้นที่ปลูกทั้งหมดในประเทศ บริเวณอำเภอภูหลวง วังสะพุง และอำเภอเมือง ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่จะส่งออกต่างประเทศ ชนิดของลูกเดือยตามรูปร่างเมล็ด 1. Typical : เมล็ดมีลักษณะทรงกลม ค่อนข้างรี ออกรูปไข่ ผิวเมล็ดเรียบ แต่แข็ง เปลือกเมล็ดมีสีฟ้าอมขาว ผิว 2. Stenocarpa : เมล็ดมีมีลักษณะกลม และรียาว ซึ่งจะรีมากกว่าชนิด Typical ส่วนผิวเปลือกจะคล้ายกัน 3. Monilifer : เมล็ดมีลักษณะกลม และมีรูปแบน ส่วนผิวเปลือกจะมีสีขาวขุ่นคล้ายสีน้ำนม หรืออาจพบเป็นสีชมพู สีน้ำตาล และสีดำ เมล็ดลูกเดือยชนิดนี้ ไม่นิยมรับประทาน แต่ส่วนใหญ่จะใช้ประโยชน์อย่างอื่น อาทิ ใช้ร้อยเป็นสร้อยคอ 4. Ma-yuen : เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างยาว และมีร่องที่ผิวเปลือกตามแนวยาว เปลือกมีสีขาวขุ่นถึงสีน้ำตาล และบางมาก เมล็ดลูกเดือยชนิดนี้นิยมนำมารับประทานเช่นกัน ชนิดของลูกเดือยในประเทศไทย 1. ลูกเดือยหิน เป็นชนิดลูกเดือยที่พบมากในภาคเหนือ โดยเฉพาะบนภูเขาสูง ลำต้นไม่สูงมาก เป็นชนิดลูกเดือยที่ไม่นำมารับประทาน เนื่องจากมีแป้งน้อย เปลือก และเนื้อเมล็ดแข็งมาก ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อทำเครื่องประดับ เนื่องจากเปลือกมันวาว และมีหลายสี 2. ลูกเดือยหินขบ เป็นลูกเดือยที่พบปลูกในทางภาคเหนือ ลำต้นสูงประมาณ 2 เมตร เป็นชนิดเดือยที่รับประทานได้ แต่นิยมรับประทานเฉพาะในท้องถิ่น เมล็ดลูกเดือยมีรูปร่างกลม ขนาดเมล็ดใหญ่ ประมาณ 10-12 มิลลิเมตร เปลือก และเนื้อเมล็ดแข็งปานกลาง เมล็ดมีสีน้ำตาลอมเทา 3. ลูกเดือยทางการค้า เป็นชนิดลูกเดือยที่ปลูก และนิยมรับประทานกันในปัจจุบัน มีลักษณะเมล็ดคล้ายข้าวสาลี ขนาดเมล็ด 8-12 มิลลิเมตร มีเปลือกบาง สีขาวขุ่นหรืออมสีน้ำตาล เมล็ดมีร่องตามแนวยาว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ – ลูกเดือยข้าวเหนียว (glutinous type) ลูกเดือยชนิดนี้มีลำต้นสีเขียวอมเหลือง และลำต้นเตี้ยกว่าลูกเดือยข้าวเจ้า เมล็ดมีลักษณะกลม ค่อนข้างป้อม และสั้น มีสีเทาอ่อน ซึ่งจะมีขนาดเมล็ดใหญ่กว่าเดือยข้าวเจ้า เปลือกเมล็ดบาง และปริแตกง่ายกว่าเมล็ดเดือยข้าวเจ้า เมื่อต้มจะให้แป้งสุกที่เหนียวลื่น และเป็นเมือก คล้ายกับแป้งข้าวเหนียว เมล็ดลูกเดือยชนิดนี้ มักแตกหักง่ายขณะสีเปลือก แต่เป็นชนิดที่นิยมรับประทานมากที่สุด – ลูกเดือยข้าวเจ้า (nonglutinous type) ลูกเดือยชนิดนี้ลำต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าเดือยข้าวเหนียว และมีนวลขาวปกคลุม ลูกเดือยชนิดนี้มีรูปค่อนข้างยาว และมีขนาดผลเล็ก เปลือกเมล็ดมีสีน้ำตาลเข้ม เปลือก และเนื้อเมล็ดค่อนข้างแข็ง เมื่อต้มสุกจะให้แป้งที่ไม่เหนียว และไม่เป็นเมือกเหมือนชนิดแรก เมล็ดลูกเดือยชนิดนี้ ไม่แตกหักง่ายขณะสีเปลือก ที่มา : 4) ประโยชน์ลูกเดือย 1. ลูกเดือยนิยมนำมาต้มรับประทานคู่กับน้ำกะทิ และน้ำตาล รวมถึงนิยมต้มสุกเพื่อนำไปผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ อาทิ น้ำเต้าหู้ เป็นต้น 2. ลูกเดือยนำมาแช่น้ำ และนำไปหุงพร้อมกับข้าวสวยรับประทาน 3. ลูกเดือยนิยมใช้ทำแป้งลูกเดือยสำหรับทำขนมของหวาน 4. ลูกเดือยใช้เป็นส่วนผสมของอาหารเสริมสำหรับบำรุงสุขภาพ 5. เมล็ดลูกเดือยนำมาตากแห้ง ก่อนบดเป็นผงชงเป็นชาหรือน้ำเมล็ดธัญพืชดื่ม 6. สารสกัดจากลูกเดือย โดยเฉพาะ coxenolide ใช้เป็นส่วนผสมทางยาสำหรับต้านเซลล์มะเร็ง 7. ลูกเดือยใช้เป็นส่วนผสมในอาหาสัตว์หรือใช้เลี้ยงสัตว์ 8. ลูกเดือยหินใช้ทำเครื่องประดับ อาทิ ห้อยร้อยเป็นสร้อยข้อมือ ตกแต่งบ้าน ตกแต่งเสื้อผ้าเนื่องจากเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง เป็นมันวาว และมีหลายสี คุณค่าทางโภชนาการของลูกเดือย – โปรตีน 17.58 % – ไขมัน 2.03 % – คาร์โบไฮเดรต 51.58% – ซิลิคอนไดออกไซด์ 0.1% – แคลเซียม 0.04% – แมกนีเซียม 0.06% – โซเดียม 0.006% – โปรแตสเซียม 0.14% – ฟอสฟอรัส 0.15% กรดไขมัน ได้แก่ – Palmitic Acid 14.6-15.8% – Stearic acid 1.1-1.7% – Oleic acid 49.3-59% – Linoleic acid 22.7-33.7% – Linoleic acid เล็กน้อย ที่มา : 3) อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ สาระสำคัญที่พบ ผลลูกเดือย – coxenolide (ยับยั้งเซลล์มะเร็ง และลดไขมันคอเลสเตอรอล) – Coixol – 1,2-ethanediol – 1,2-propanediol – 1,3-propanediol – 1,3-butanediol – 1,4-butanediol – 2,3-butanediol รากลูกเดือย – Lignin – Coixol – Palmitic Acid – Stearic Acid – Stigmeaterd – B-Sitosterol – แป้ง และน้ำตาล ที่มา : 1), 3) อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ สรรพคุณลูกเดือย ผลหรือลูกเดือย – ลูกเดือย เป็นธัญพืชที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งพลังงาน โปรตีน และวิตามิน ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ – ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูก – ลูกเดือยมีมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา – ลูกเดือยมีวิตามิน B1 ช่วยแก้อาการเหน็บชา – ลูกเดือยมีคาร์โบไฮเดรตสูง ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย และช่วยให้คนไข้พักฟื้นตัวได้เร็ว – ต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเนื้องอก – ช่วยบำรุงผิวพรรณ ป้องกันผิวหยาบแห้ง – ช่วยแก้ร้อนใน – ช่วยลดอาการเป็นไข้ ลดอาการปวดหัว – ช่วยบำรุงอวัยวะภายใน อาทิ ตับ ไต กระเพาะอาหาร และม้าม – ช่วยบำรุงเลือดในสตรีหลังคลอดใหม่ – ช่วยรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน – ช่วยแก้อาการท้องร่วง – ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของกระเพาะอาหาร และลำไส้ – ช่วยแก้อาการบวมน้ำ – ช่วยแก้อาการปวดข้อเรื้อรัง – ช่วยในการย่อยอาหาร – ช่วยบำรุงเส้นผม และผิวหนัง – แก้อาการเหน็บชา – แก้อาการกล้ามเนื้อชักกระตุก – รักษาการตกขาวผิดปกติในสตรี – แก้อาการหลอดลมอักเสบ – ช่วยลดน้ำคั่งในปอด – แก้ฝีในลำไส้ – ช่วยรักษาอาการเอ็นตึงรั้ง – รักษาโรครูมาติซึม – ใช้รักษาวัณโรค – ช่วยในการขับเลือด ขับหนอง – ใช้รักษาโรคหูด ใบ และลำต้น – ใบใช้ชงเป็นยาดื่ม ช่วยขับปัสสาวะ – นำทั้งต้น และใบมาต้มน้ำอาบ ช่วยแก้โรคผิวหนัง ลดอาการผื่นคัน – แก้ปัสสาวะเหลืองขุ่น รากลูกเดือย (มีรสขมเล็กน้อย) – การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนัง – ช่วยบำรุงเส้นผม ทำให้ดำดก – น้ำต้มช่วยขับปัสสาวะ – ช่วยแก้ไข้ – ช่วยขับพยาธิ – แก้อาการดีซ่าน – แก้อาการบวมน้ำ – แก้โรคหนองใน – แก้ข้อเข่าเสื่อม ลดอาการปวดตามข้อต่างๆ – แก้อาการตกขาว – กระตุ้นประจำเดือนให้มาปกติ ที่มา : 1), 2), 3) อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ ฤทธิ์สำคัญทางยาที่พบ – กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – ขับปัสสาวะ : ส่วนที่ใช้ คือ ราก และใบ – ลดอุณหภูมิในร่างกาย : ส่วนที่ใช้ คือ สาร Coixenolide – ฤทธิ์ต้านการอักเสบจากการติดเชื้อ : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – ต้านการอักเสบที่ผิวหนัง : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง ส่วนที่ใช้ คือ สาร Coixenolide ในผล – ลดความดันโลหิต : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – ใช้เป็นยานอนหลับ และระงับอาการปวด : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – ลดน้ำตาลในเลือด : ส่วนที่ใช้ คือ สาร Coixan A.B,C ในผล – ยับยั้ง Trypsin : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – ฤทธิ์ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – ลดโคเลสเตอรอล : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – กระตุ้นการเจริญ และตกไข่ในสตรี : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – กระตุ้นการสร้างอสุจิ : ส่วนที่ใช้ คือ ผล – ขับพยาธิในเด็ก : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา : ส่วนที่ใช้ คือ ราก ใบ และลำต้น – บำรุง และกระตุ้นการงอกของผม : ส่วนที่ใช้ คือ ราก – เป็นพิษต่อเม็ดเลือดขาว : ส่วนที่ใช้ คือ เปลือกเมล็ด เพิ่มเติมจาก : 4) การปลูกลูกเดือย ลูกเดือยเป็นพืชไร่ที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ดอนหรือพื้นที่ที่มีความลาดชัน พื้นที่มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขังหรือดินชื้นแฉะง่าย การปลูกนั้นจะใช้วิธีการปลูกด้วยเมล็ดเพียงอย่างเดียว ด้วยการหว่านเมล็ดลงบนแปลง ซึ่งจะหว่านในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนา และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกลูกเดือยชื่อพันธุ์ เดือยข้าวเหนียวพันธุ์เลย ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองถึงร้อยละ 11 ลักษณะลูกเดือยข้าวเหนียวพันธุ์เลยกับพันธุ์พื้นเมือง 1. ความสูง 196 เซนติเมตร ในขณะที่พันธุ์พื้นเมืองสูง 203 เซนติเมตร 2. ทรงพุ่มกว้าง ในขณะที่พันธุ์พื้นเมืองทรงพุ่มแคบ 3. ดอกออกทุกซอกใบ เหมือนกับพันธุ์พื้นเมือง 4. จำนวนแขนงประมาณ 11 แขนง/กอ เท่ากัน 5. เมล็ด 609 ต่อกอ ขณะที่พันธุ์พื้นเมือง 546 ต่อกอ 6. น้ำหนัก 100 เมล็ด 15.7 กรัม ขณะที่พันธุ์พื้นเมือง 15.6 กรัม 7. ร้อยละหลังการกะเทาะ 55.6 ส่วนพันธุ์พื้นเมืองร้อยละ 49.2 8. ผลผลิตต่อปี 299 กก./ไร่ ส่วนพันธุ์พื้นเมือง 266 กก./ไร่ 9. น้ำหนักหลังกะเทาะ 167 กก./ไร่ ส่วนพันธุ์พื้นเมือง 133 กก./ไร่ ที่มา : 4) การเตรียมแปลง การปลูกเพื่อการค้า เกษตรกรนิยมปลูกในพื้นที่ไร่บนแปลงใหญ่ ซึ่งจะต้องเตรียมแปลงคล้ายกับการปลูกพืชไร่ทั่วไป คือ ให้ไถพรวนดิน และกำจัดวัชพืช 1 รอบ พร้อมตากดินนานอย่างน้อย 10-15 วัน วิธีการปลูกลูกเดือย การปลูกสามารถปลูกได้ทั้งวิธีการหว่านเมล็ด และการหยอดเมล็ด แต่ทั่วไปจะใช้วิธีการหยอดเมล็ด เพราะหารหว่านจะควบคุมระยะห่างยาก และลำต้นของลูกเดือยแตกแขนงเป็นกอได้กว้าง การหยอดเมล็ดจะใช้วิธีการไถคราดให้เป็นร่องตามยาวก่อน พร้อมโรยด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ และหลังหยอดเมล็ดแล้วค่อยคราดกลบร่อง โดยมีระยะห่างของร่องหรือแถวประมาณ 75 เซนติเมตร จากนั้น จะหยอดเมล็ดเป็นหลุมๆหรือจุดๆ หลุมละ 5-6 เมล็ด แต่ละจุดห่างกันประมาณ 75 เซนติเมตร หลังจากที่เมล็ดงอกแล้วประมาณ 1 เดือน จึงถอนต้นลูกเดือยให้เหลือ 3-4 ต้น การให้น้ำ หลังจากหยอดเมล็ดแล้วก็จะปล่อยให้เมล็ดงอก และเติบโตตามธรรมชาติ โดยอาศัยเพียงน้ำฝนตามฤดูก็เพียงพอ การใส่ปุ๋ย หลังการถอนต้นแล้ว ประมาณ 1 เดือน (เดือนที่ 2) ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-24 หรือสูตร 15-15-15 ในอัตราเดียวกันในตอนรองพื้น โดยจะใส่พร้อมกับการกำจัดวัชพืช การกำจัดวัชพืช ในช่วงที่เริ่มทำการถอนต้นลูกเดือยทิ้ง ให้กำจัดวัชพืชด้วยการใช้จอบถากไปพร้อมด้วย ผลผลิต หลังจากที่ดอกเริ่มออกประมาณเดือนตุลาคม ลูกเดือยก็จะเริ่มติดเมล็ด และจะเริ่มแก่พร้อมเก็บเมล็ดได้ประมาณกลางเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งจะสังเกตได้จากลำต้น และใบเหลือง และเริ่มแห้งแล้ว วิธีเก็บเมล็ดนั้น เกษตรกรจะนิยมใช้มีดหรือเคียวตัดลำต้นเดือยทั้งต้น และแบกมากองรวมกันเป็นชั้นบนผ้าตาข่ายหรือผ้าลาน และตากเมล็ดให้แห้งนาน 2-3 วัน ก่อนจะใช้เครื่องนวดแยกเมล็ดออก ก่อนจะนำเมล็ดส่งโรงงานรับซื้อ ความคุ้มทุน สำนักงานเกษตร จังหวัดเลยได้รายงานความคุ้มทุนในการปลูกลูกเดือยของเกษตรกรพบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่อไร่ประมาณ 3,360 บาท หลังจากเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตประมาณ 600 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนราคารับซื้อขณะนั้นประมาณ 15 บาท/กิโลกรัม ซึ่งจะขายได้เงินประมาณ 9,000 บาท/ไร่ คำนวณแล้วจะได้กำไรประมาณ 5,640 บาท/ไร่ ทั้งนี้ ราคารับซื้ออาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แหล่งที่มา: http://puechkaset.com/ลูกเดือย/
[fbcomments url="https://www.parichfertilizer.com/knowledge/%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%a2-%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9b/" width="375" count="off" num="3" title="แสดงความคิดเห็น" countmsg="wonderful comments!"]

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save